บทนำ: ทำไมการวางแผนจึงเป็นหัวใจของการจัดการ?
ในกระบวนการบริหารจัดการสมัยใหม่ หน้าที่ทางการจัดการ (Management Functions) ประกอบด้วย 4 ประการสำคัญ คือ POLC (Planning, Organizing, Leading, Controlling) โดย "การวางแผน" (Planning) ถือเป็นหน้าที่ลำดับแรกและมีความสำคัญสูงสุด เปรียบเสมือนเข็มทิศนำทาง หากขาดการวางแผนที่ดี หน้าที่อื่นๆ ทั้งการจัดองค์การ การนำ และการควบคุม ก็จะไร้ทิศทางและขาดประสิทธิภาพ
หน่วยการเรียนรู้นี้จะพาท่านเจาะลึกเข้าสู่โลกของการวางแผนอย่างละเอียด ตั้งแต่หลักการพื้นฐาน กระบวนการคิดเชิงกลยุทธ์ ไปจนถึงเทคนิคขั้นสูงในการพยากรณ์อนาคต เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนในโลกธุรกิจปัจจุบัน
ตอนที่ 3.1 แนวคิดและหลักการวางแผน (Concepts and Principles)
การวางแผนไม่ใช่เรื่องของการคาดเดา แต่เป็นกระบวนการที่เป็นระบบในการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต เป็นการเชื่อมโยงระหว่าง "จุดที่เราอยู่" กับ "จุดที่เราต้องการไปถึง"
3.1.1 ความหมายและความสำคัญของการวางแผน
1. นิยามความหมาย (Definitions)
นักวิชาการด้านการจัดการชั้นนำของโลกได้ให้คำนิยามของ "การวางแผน" ไว้หลากหลายมุมมอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงมิติต่างๆ ของการวางแผน:
- Jones and George (2022): นิยามว่าคือ "การกำหนดเป้าหมายขององค์การและแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้นได้ดีที่สุด" เน้นที่การเลือกวิธีการที่ดีที่สุด (Optimization).
- Bateman and Konopaske (2022): มองว่าเป็น "กระบวนการที่มีสติและเป็นระบบ (Conscious and Systematic) ในการตัดสินใจเกี่ยวกับเป้าหมายและกิจกรรมในอนาคต" เน้นความเป็นระบบระเบียบ.
- Samson, Donnet, and Daft (2021): อธิบายว่าเป็น "การระบุเป้าหมายในอนาคต และทรัพยากรที่จำเป็น" เน้นเรื่องการจัดสรรทรัพยากร.
- Kinicki and Williams (2020): เพิ่มมิติเรื่อง "การรับมือกับความไม่แน่นอน" (Coping with uncertainty) เข้าไปในนิยาม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการวางแผนในยุคปัจจุบัน.
สรุปใจความสำคัญ: การวางแผน คือ การตัดสินใจล่วงหน้าว่าจะทำอะไร ทำอย่างไร ทำเมื่อใด และใครเป็นผู้กระทำ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ภายใต้ทรัพยากรที่มีจำกัดและความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อม
2. ความสำคัญของการวางแผน (Importance)
ทำไมองค์การต้องวางแผน? การวางแผนมีความสำคัญอย่างยิ่งด้วยเหตุผล 5 ประการ:
- เป็นจุดเริ่มต้นของทุกกิจกรรม (Primacy of Planning): การวางแผนเป็นฐานรากของพีระมิดการจัดการ หากไม่มีแผน ผู้บริหารจะไม่สามารถจัดโครงสร้างองค์การ (Organizing) ว่าใครต้องทำอะไร ไม่สามารถนำทาง (Leading) พนักงานได้ และไม่สามารถควบคุม (Controlling) ได้เพราะไม่มีมาตรฐานให้เทียบวัด
- ลดความเสี่ยงและความไม่แน่นอน (Risk Reduction): แม้เราจะรู้อนาคตไม่ได้ 100% แต่การวางแผนช่วยให้เราคาดการณ์ (Forecast) ฉากทัศน์ต่างๆ (Scenarios) และเตรียมแผนสำรอง (Contingency Plans) ไว้รับมือ ทำให้เมื่อเกิดวิกฤต องค์การจะไม่ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก
- มุ่งเน้นวัตถุประสงค์ (Focus on Objectives): แผนที่ชัดเจนช่วยให้ทุกคนในองค์การมองเห็น "ภาพเดียวกัน" ลดความขัดแย้งและการทำงานซ้ำซ้อน ทรัพยากรทุกบาททุกสตางค์จะถูกใช้ไปในทิศทางที่สนับสนุนเป้าหมายหลัก
- อำนวยความสะดวกในการควบคุม (Facilitates Control): "แผน" คือ "มาตรฐาน" ในการวัดผล หากไม่มีแผน เราจะไม่รู้เลยว่าผลงานที่ออกมานั้น ดีหรือแย่ เร็วหรือช้า เกินงบหรือประหยัด
- สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive Advantage): องค์การที่วางแผนดีย่อมก้าวเร็วกว่าคู่แข่ง สามารถมองเห็นโอกาสทางการตลาดก่อน และเตรียมความพร้อมในการผลิตหรือบริการได้ทันท่วงที ซึ่งนำไปสู่ความยั่งยืนของธุรกิจ
หน้าที่ในการวางแผนของกรรมการ (Duty to Plan)
พ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัด และ หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (CG Code)
ในทางกฎหมาย การวางแผนไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็น "หน้าที่" (Duty) ของคณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารระดับสูง
- Business Judgment Rule: กฎหมายคุ้มครองกรรมการที่ตัดสินใจทางธุรกิจด้วยความระมัดระวัง โดยพิจารณาจากข้อมูลและการวางแผนที่รอบคอบ แม้ผลลัพธ์จะขาดทุน กรรมการก็ไม่ต้องรับผิด
- ความรับผิด (Liability): หากกรรมการบริหารงานโดย "ไร้ทิศทาง" หรือ "ประมาทเลินเล่อ" ไม่มีการวางแผนรองรับความเสี่ยง จนบริษัทเสียหาย ผู้ถือหุ้นสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายได้
- แผนฟื้นฟูกิจการ: ในกรณีที่บริษัทประสบปัญหาทางการเงิน กฎหมายล้มละลายกำหนดให้ต้องมีการทำ "แผนฟื้นฟูกิจการ" ที่ชัดเจน เพื่อเสนอต่อเจ้าหนี้และศาล นี่คือตัวอย่างที่สุดของการวางแผนที่มีผลทางกฎหมาย
3.1.2 ลักษณะธรรมชาติและหลักการวางแผน
1. ลักษณะของการวางแผนที่ดี (Characteristics)
- ความเป็นเหตุเป็นผล (Rationality): ต้องไม่อิงไสยศาสตร์หรือการเดาสุ่ม แต่ต้องมาจากการวิเคราะห์ข้อมูล (Data-Driven) และตรรกะที่สมเหตุสมผล
- ระบบเปิด (Open System): แผนต้องไม่คิดเข้าข้างตัวเอง แต่ต้องคำนึงถึงปัจจัยภายนอก (PESTEL Analysis) เช่น เศรษฐกิจ กฎหมาย คู่แข่ง เทคโนโลยี
- ความยืดหยุ่น (Flexibility): แผนที่ดีต้องไม่แข็งตัวจนปรับเปลี่ยนไม่ได้ (Rigid) แต่ต้องเหมือน "ต้นไผ่ลู่ลม" ที่ปรับตัวได้ตามสถานการณ์วิกฤตโดยไม่หักโค่น
- ครอบคลุมทั่วทั้งองค์การ (Pervasiveness): การวางแผนไม่ใช่หน้าที่ของผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น แต่หัวหน้างานทุกระดับจนถึงพนักงานระดับปฏิบัติการต้องมีการวางแผนงานของตนเอง
2. หลักการวางแผนที่มีประสิทธิภาพ
- ใช้เวลาไตร่ตรอง (Reflective Thinking): อย่ารีบวางแผนเพียงเพื่อให้มีแผน แต่ต้องวิเคราะห์อย่างรอบด้าน
- ผสมผสาน บน-ล่าง และ ล่าง-บน:
- Top-Down: ผู้บริหารกำหนดนโยบายหลัก
- Bottom-Up: พนักงานปฏิบัติการเสนอข้อมูลและปัญหาหน้างานจริง วิธีนี้จะสร้างการยอมรับ (Buy-in) ได้ดีกว่า
- การมีส่วนร่วม (Participation): แผนที่ดีที่สุดมักมาจากระดมสมองของคนที่ต้องทำงานนั้นจริงๆ
การวางแผนกำไรและการงบประมาณ (Profit Planning & Budgeting)
ในทางบัญชีบริหาร "แผน" จะถูกแปลงเป็นตัวเลขทางการเงิน เรียกว่า "งบประมาณ" (Budget)
- งบประมาณแม่บท (Master Budget): คือแผนการเงินรวมของทั้งบริษัท ประกอบด้วยงบประมาณขาย งบประมาณผลิต งบประมาณเงินสด ฯลฯ
- การควบคุมงบประมาณ (Budgetary Control): นักบัญชีจะนำ "ตัวเลขจริง" มาเทียบกับ "ตัวเลขในงบประมาณ" (Variance Analysis) เพื่อดูว่ามีผลต่างที่น่าพอใจ (Favorable) หรือไม่น่าพอใจ (Unfavorable) และหาสาเหตุ
- Zero-Based Budgeting (ZBB): เทคนิคการวางแผนงบประมาณโดยเริ่มจากศูนย์ทุกปี ไม่ใช่อ้างอิงจากปีก่อน เพื่อขจัดความสูญเปล่า
ตอนที่ 3.2 ประเภทและกระบวนการวางแผน (Types and Process)
การวางแผนไม่ได้มีรูปแบบเดียว แต่มีความลึกและระยะเวลาที่แตกต่างกันตามระดับการบริหาร ตั้งแต่ภาพใหญ่ระดับองค์กรไปจนถึงรายละเอียดงานประจำวัน
3.2.1 ประเภทของการวางแผน (Types of Planning)
เราสามารถจำแนกแผนออกเป็น 3 ระดับ ตามพีระมิดการบริหาร:
| ระดับแผน | ผู้รับผิดชอบ | ระยะเวลา | ลักษณะสำคัญและตัวอย่าง |
|---|---|---|---|
| 1. แผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) | ผู้บริหารระดับสูง (CEO, Board) | ระยะยาว (3-5 ปีขึ้นไป) |
เน้น: ความอยู่รอด การเติบโต ทิศทางหลัก ตัวอย่าง: Volvo ประกาศแผนเพิ่มยอดขาย 2 เท่า และเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2025 |
| 2. แผนยุทธวิธี (Tactical Planning) | ผู้บริหารระดับกลาง (VP, Director) | ระยะกลาง (1-2 ปี) |
เน้น: การแปลงกลยุทธ์สู่การปฏิบัติในระดับฝ่าย/ธุรกิจ ตัวอย่าง: ฝ่ายการตลาดวางแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ในไตรมาส 3 เพื่อสนองเป้าหมายยอดขายรวม |
| 3. แผนปฏิบัติการ (Operational Planning) | ผู้บริหารระดับต้น (Manager, Supervisor) | ระยะสั้น (รายวัน-รายปี) |
เน้น: รายละเอียดงานประจำวัน การใช้ทรัพยากร ตัวอย่าง: ตารางการผลิตประจำสัปดาห์, แผนการเยี่ยมลูกค้าของเซลล์ |
องค์ประกอบก่อนเริ่มวางแผน: พันธกิจ วิสัยทัศน์ ค่านิยม
ก่อนจะวางแผนกลยุทธ์ องค์การต้องตอบคำถามพื้นฐาน 3 ข้อให้ได้ก่อน:
-
พันธกิจ (Mission) - "เราดำรงอยู่เพื่ออะไร?": ข้อความที่ระบุขอบเขตธุรกิจและเหตุผลในการมีอยู่ขององค์การ
ตัวอย่าง Google: "เพื่อจัดระเบียบข้อมูลของโลกและทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้และเป็นประโยชน์" -
วิสัยทัศน์ (Vision) - "เราต้องการเป็นอะไรในอนาคต?": ภาพฝันที่ต้องการไปให้ถึงในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ต้องท้าทายและสร้างแรงบันดาลใจ
ตัวอย่าง Amazon: "เป็นบริษัทที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากที่สุดในโลก" -
ค่านิยม (Values) - "เราเชื่อในอะไร?": หลักยึดเหนี่ยวทางจิตใจและจริยธรรมที่กำกับพฤติกรรมคนในองค์การ
ตัวอย่าง Zappos: "สร้างความสนุกสนานและความประหลาดใจ"
3.2.2 กระบวนการวางแผน (Planning Process)
กระบวนการวางแผนมาตรฐานประกอบด้วย 6 ขั้นตอนที่เป็นวัฏจักร (Iterative Process) ดังนี้:
- วิเคราะห์สถานการณ์ (Situational Analysis): สำรวจข้อมูลทั้งอดีต ปัจจุบัน และพยากรณ์อนาคต ทั้งปัจจัยภายใน (จุดแข็ง/จุดอ่อน) และภายนอก (โอกาส/อุปสรรค) เพื่อให้รู้ว่า "เรายืนอยู่จุดไหน"
-
กำหนดเป้าหมาย (Goal Setting):
กำหนดสิ่งที่ต้องการบรรลุ โดยใช้หลักการ SMART Goals:
- Specific (เฉพาะเจาะจง)
- Measurable (วัดผลได้)
- Achievable (ทำสำเร็จได้จริง)
- Relevant (เกี่ยวข้องกับวิสัยทัศน์)
- Time-bound (มีกรอบเวลาชัดเจน)
- ประเมินทางเลือก (Evaluating Alternatives): เป้าหมายหนึ่งอาจไปถึงได้หลายวิธี ต้องระดมสมองหาทางเลือกและประเมินข้อดี-ข้อเสีย ความคุ้มค่า และความเสี่ยงของแต่ละทาง
- ตัดสินใจเลือก (Selection): เลือกแผนที่ดีที่สุด เหมาะสมกับสถานการณ์และทรัพยากรที่สุด พร้อมเตรียมแผนสำรอง (Contingency Plan)
- นำไปปฏิบัติ (Implementation): หัวใจสำคัญคือการสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจ การจัดสรรทรัพยากร และการจูงใจให้พนักงานลงมือทำตามแผน
- ติดตามและควบคุม (Monitor & Control): ตรวจสอบผลลัพธ์จริงเทียบกับแผน หากคลาดเคลื่อนต้องรีบแก้ไข (Corrective Action) หรือปรับแผนใหม่
ตอนที่ 3.3 เทคนิคสำหรับการวางแผน (Planning Techniques)
เพื่อให้การวางแผนมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารจำเป็นต้องใช้ "เครื่องมือ" ช่วยในการวิเคราะห์ ทั้งในเชิงคุณภาพ (ใช้ดุลยพินิจ) และเชิงปริมาณ (ใช้ตัวเลข)
3.3.1 เทคนิคเชิงคุณภาพ (Qualitative Techniques)
ใช้เมื่อข้อมูลตัวเลขในอดีตมีน้อย หรือสถานการณ์มีความไม่แน่นอนสูง ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของมนุษย์
1. การพยากรณ์ (Forecasting)
- ดุลยพินิจผู้บริหาร (Executive Judgment): รวดเร็ว แต่เสี่ยงต่ออคติ
- ความเห็นพนักงานขาย (Salesforce Opinions): ข้อมูลลึกจากหน้างาน แต่อาจมีการประเมินต่ำเกินไปเพื่อให้ทำเป้าได้ง่าย
- วิธีเดลฟาย (Delphi Method): ถามความเห็นผู้เชี่ยวชาญหลายคนโดยไม่ให้เจอหน้ากัน (เพื่อลดการชี้นำ) ทำซ้ำหลายรอบจนได้ฉันทามติ เหมาะกับการพยากรณ์เทคโนโลยีหรือสังคมระยะยาว
- การสำรวจตลาด (Market Survey): ถามลูกค้าโดยตรงว่าต้องการอะไร แม่นยำแต่ค่าใช้จ่ายสูง
2. การวิเคราะห์ SWOT Analysis
เครื่องมือคลาสสิกในการวิเคราะห์สถานการณ์ เพื่อนำมาสร้างกลยุทธ์ผ่าน TOWS Matrix:
| โอกาส (O) | อุปสรรค (T) | |
| จุดแข็ง (S) | กลยุทธ์เชิงรุก (SO): ใช้จุดแข็งฉกฉวยโอกาส (เช่น แบรนด์ดัง + ตลาดโต = ขยายสาขา) |
กลยุทธ์แตกตัว (ST): ใช้จุดแข็งเลี่ยงอุปสรรค (เช่น เงินเยอะ + ตลาดเดิมตัน = ลงทุนธุรกิจใหม่) |
| จุดอ่อน (W) | กลยุทธ์พลิกฟื้น (WO): ใช้โอกาสมาปิดจุดอ่อน (เช่น เทคโนโลยีล้าหลัง + มีพันธมิตรเก่ง = ร่วมทุน) |
กลยุทธ์ป้องกัน (WT): ลดจุดอ่อนและเลี่ยงภัย (เช่น ขาดทุน + เศรษฐกิจแย่ = ลดขนาดกิจการ) |
3. การระดมสมอง (Brainstorming)
เทคนิคการสร้างความคิดสร้างสรรค์กลุ่ม กฎเหล็กคือ "ห้ามวิพากษ์วิจารณ์" ในช่วงแรก เน้นปริมาณไอเดียมากกว่าคุณภาพ เพื่อให้ได้ทางเลือกที่แปลกใหม่
3.3.2 เทคนิคเชิงปริมาณ (Quantitative Techniques)
ใช้ข้อมูลตัวเลขและหลักคณิตศาสตร์ เพื่อความแม่นยำและลดอคติ
1. การพยากรณ์อนุกรมเวลา (Time-Series Analysis)
วิเคราะห์รูปแบบข้อมูลในอดีตเพื่อทำนายอนาคต:
- แนวโน้ม (Trend): ทิศทางหลักระยะยาว (เช่น ยอดขายโตขึ้นทุกปี)
- ฤดูกาล (Seasonality): รูปแบบที่ซ้ำเดิมในรอบปี (เช่น เสื้อกันหนาวขายดีเดือน ธ.ค.)
- วัฏจักร (Cycle): การขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจ (ระยะยาวกว่า 1 ปี)
- เหตุการณ์สุ่ม (Random): ความผันผวนที่คาดเดาไม่ได้ (เช่น ภัยธรรมชาติ)
2. แผนภูมิแกนต์ (Gantt Chart)
เครื่องมือวางแผนโครงการที่แสดงกิจกรรมเทียบกับเวลา ช่วยให้เห็นภาพรวมว่างานไหนต้องทำเมื่อไหร่ งานไหนทำพร้อมกันได้
3. การวิเคราะห์จุดคุ้มทุน (Break-Even Analysis)
เครื่องมือสำคัญทางการเงินเพื่อตัดสินใจว่าจะผลิตสินค้าหรือไม่ หรือต้องขายเท่าไหร่ถึงจะไม่ขาดทุน
สมการจุดคุ้มทุน (Break-Even Point Formula)
BEP (หน่วย) = ต้นทุนคงที่รวม / (ราคาขายต่อหน่วย - ต้นทุนผันแปรต่อหน่วย)
- ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost): ค่าใช้จ่ายที่จ่ายเท่าเดิมไม่ว่าจะผลิตเท่าไหร่ เช่น ค่าเช่าโรงงาน เงินเดือนผู้จัดการ
- ต้นทุนผันแปร (Variable Cost): ค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนตามยอดผลิต เช่น วัตถุดิบ ค่าแรงรายชิ้น
- กำไรส่วนเกิน (Contribution Margin): คือ ราคาขาย - ต้นทุนผันแปร (เงินที่เหลือต่อชิ้นเพื่อไปโปะค่าที่)
ตัวอย่าง: ค่าเช่า 300,000 บาท, ขายของชิ้นละ 1,000 บาท, ทุนวัตถุดิบ 500 บาท
กำไรส่วนเกิน = 1,000 - 500 = 500 บาท
จุดคุ้มทุน = 300,000 / 500 = 600 ชิ้น (ต้องขายให้ได้ 600 ชิ้นถึงจะเท่าทุน)
4. การควบคุมสินค้าคงคลัง (EOQ Model)
Economic Order Quantity คือการคำนวณหาระดับการสั่งซื้อที่ "ประหยัดที่สุด" โดยถ่วงดุลระหว่าง:
- ต้นทุนการสั่งซื้อ (Ordering Cost): ยิ่งสั่งบ่อย ยิ่งเปลืองค่าขนส่ง/ค่าดำเนินการ (อยากสั่งทีละเยอะๆ)
- ต้นทุนการเก็บรักษา (Holding Cost): ยิ่งสต็อกเยอะ ยิ่งจมทุน/เสียค่าโกดัง (อยากสั่งทีละน้อยๆ)
สูตร EOQ ช่วยหาจุดสมดุลที่ทำให้ต้นทุนรวมต่ำที่สุด
บทสรุป: การวางแผนสู่ความสำเร็จ
การวางแผนไม่ใช่การผูกมัดองค์การไว้กับอนาคตที่ตายตัว แต่เป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้องค์การมีความยืดหยุ่นและสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชาญฉลาด ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จต้องเชี่ยวชาญทั้ง "ศาสตร์" แห่งการวิเคราะห์ข้อมูล และ "ศิลป์" แห่งการพยากรณ์และการตัดสินใจ
เครื่องมือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น SWOT, Gantt Chart หรือ Break-Even Analysis เป็นเพียงตัวช่วย สิ่งสำคัญที่สุดคือวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นที่จะนำพาองค์การไปสู่เป้าหมาย ภายใต้ความรับผิดชอบต่อสังคมและจริยธรรมทางธุรกิจ
พร้อมสอบ Unit 3 แล้วหรือยัง?
คุณได้อ่านบทเรียน Unit 3 จบแล้ว ลองมาทดสอบความเข้าใจกันเลย!
แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ (Recall, Analysis, Integration)
มีเฉลยละเอียดพร้อมคำอธิบาย