Unit 1: แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับองค์การ

ทำความเข้าใจรากฐานของทฤษฎีการจัดการองค์การตั้งแต่ยุคคลาสสิกจนถึงยุคดิจิทัล พร้อมมุมมองด้านกฎหมายและบัญชี

ตอนที่ 1.1: แนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับองค์การ

องค์การ (Organization) คือกลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ มีเป้าหมายร่วม และมีโครงสร้างการบริหารจัดการที่ชัดเจน

1.1.1 นิยามขององค์การ

นักวิชาการหลายท่านให้คำจำกัดความขององค์การไว้หลากหลาย แต่มีแกนหลักสำคัญที่คล้ายกัน:

  • Chester Barnard: องค์การคือระบบของกิจกรรมที่ผู้คนประสานงานกัน โดยมีเป้าหมายร่วมกัน
  • Max Weber: องค์การคือหน่วยทางสังคมที่มีโครงสร้างบริหารแบบลำดับชั้น (Hierarchy) ชัดเจน
  • Herbert Simon: องค์การคือระบบการตัดสินใจ (Decision-Making System) ที่ซับซ้อน

1.1.2 คุณลักษณะขององค์การ

องค์การทุกองค์การมักมีคุณสมบัติร่วมกัน 5 ประการ:

  1. มีเป้าหมาย (Goals): ทุกองค์การมีจุดหมายปลายทางที่ต้องการบรรลุ
  2. มีโครงสร้าง (Structure): มีการแบ่งงานและกำหนดบทบาทหน้าที่ชัดเจน
  3. มีทรัพยากร (Resources): ประกอบด้วยคน เงิน วัสดุ และข้อมูล
  4. มีกระบวนการ (Processes): มีวิธีการทำงานที่เป็นระบบ
  5. มีสภาพแวดล้อม (Environment): องค์การไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว แต่เชื่อมโยงกับโลกภายนอก

ทดสอบความเข้าใจ Unit 1

เรียนจบ Unit 1 แล้วใช่ไหม? มาทดสอบความเข้าใจของคุณกันเลย!
แบบทดสอบ 20 ข้อ ครอบคลุมทุกเนื้อหา พร้อมเฉลยละเอียด

เริ่มทำแบบทดสอบ

ตอนที่ 1.2: ทฤษฎีคลาสสิกและนีโอคลาสสิก

ทฤษฎีการจัดการองค์การเริ่มต้นอย่างจริงจังในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 เรียกว่ายุคคลาสสิก (Classical Era) ซึ่งเน้นประสิทธิภาพและโครงสร้างเป็นหลัก

1.2.1 ทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)

Frederick W. Taylor: บิดาแห่งการจัดการสมัยใหม่

Taylor เสนอแนวคิดว่าการทำงานควรศึกษาอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ทุกขั้นตอน และออกแบบวิธีทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด (One Best Way)

หลักการสำคัญ 4 ข้อ:

  1. ศึกษาแบบวิทยาศาสตร์: ทำการศึกษาเวลาและการเคลื่อนไหว (Time and Motion Study)
  2. คัดเลือกและฝึกอบรม: เลือกคนที่เหมาะสมกับงาน แล้วฝึกอบรมจนเชี่ยวชาญ
  3. ความร่วมมือ: ผู้บริหารและคนงานต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด
  4. แบ่งความรับผิดชอบ: งานวางแผนและงานปฏิบัติต้องแยกออกจากกันชัดเจน

Frank และ Lillian Gilbreth: คู่สามีภรรยาผู้ศึกษาการเคลื่อนไหว

พัฒนาแนวคิดของ Taylor ด้วยการศึกษา Therbligs (หน่วยการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐาน 17 แบบ) เพื่อลดความสิ้นเปลืองและเพิ่มประสิทธิภาพ

1.2.2 ทฤษฎีการบริหารทั่วไป (Administrative Management)

Henry Fayol: บิดาแห่งการบริหารสมัยใหม่

Fayol เสนอหน้าที่หลักของการจัดการ 5 ประการ (POCCC):

  • Planning (วางแผน): กำหนดเป้าหมายและวิธีการบรรลุ
  • Organizing (จัดองค์การ): จัดสรรทรัพยากรและโครงสร้าง
  • Commanding (สั่งการ): ชี้นำและสั่งการพนักงาน
  • Coordinating (ประสานงาน): เชื่อมโยงกิจกรรมให้สอดคล้องกัน
  • Controlling (ควบคุม): ติดตามผลและแก้ไขส่วนที่ผิดพลาด

14 หลักการบริหารของ Fayol:

หลักการ คำอธิบาย
1. Division of Work แบ่งงานตามความเชี่ยวชาญ (Specialization)
2. Authority & Responsibility อำนาจและความรับผิดชอบต้องสมดุลกัน
3. Discipline ต้องมีระเบียบวินัยในการทำงาน
4. Unity of Command ลูกน้องควรมีหัวหน้าเพียงคนเดียว
5. Unity of Direction กิจกรรมที่มีเป้าหมายเดียวกันควรมีหัวหน้าคนเดียว
6. Subordination ผลประโยชน์ส่วนรวมสำคัญกว่าส่วนตัว
7. Remuneration ค่าตอบแทนต้องเหมาะสมและเป็นธรรม
8. Centralization รวมศูนย์หรือกระจายอำนาจให้เหมาะสม
9. Scalar Chain มีสายการบังคับบัญชาชัดเจน
10. Order คนและสิ่งของต้องอยู่ในที่ที่เหมาะสม
11. Equity ปฏิบัติต่อพนักงานด้วยความเป็นธรรม
12. Stability of Tenure ลดการหมุนเวียนพนักงาน (Turnover)
13. Initiative ส่งเสริมให้พนักงานคิดและริเริ่มสร้างสรรค์
14. Esprit de Corps สร้างความสามัคคีและจิตวิญญาณองค์กร

1.2.3 ทฤษฎีระบบราชการ (Bureaucracy)

Max Weber: ระบบราชการในอุดมคติ

Weber เชื่อว่าองค์การที่มีประสิทธิภาพควรมีลักษณะดังนี้:

  • แบ่งงานชัดเจน: ทุกตำแหน่งมีหน้าที่เฉพาะ
  • ลำดับชั้นอำนาจ: มีโครงสร้างเหมือนปิรามิด (Pyramid)
  • กฎเกณฑ์ชัดเจน: ทุกอย่างทำตามระเบียบที่เป็นลายลักษณ์อักษร
  • ไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง (Impersonal): ตัดสินใจด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์
  • คัดเลือกด้วยความสามารถ: เลือกคนเข้าทำงานด้วยความรู้ความสามารถ ไม่ใช่ความสัมพันธ์
  • มีการบันทึก: เก็บเอกสารและประวัติการทำงานอย่างเป็นระบบ

1.2.4 ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Human Relations)

Elton Mayo และการทดลอง Hawthorne

Mayo ค้นพบว่าผลผลิตของคนงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับ "ความรู้สึก" และ "ความสัมพันธ์ทางสังคม" มากกว่า

ผลการทดลอง Hawthorne (1924-1932):

  • Hawthorne Effect: คนงานทำงานได้ดีขึ้นเพียงเพราะรู้ว่าถูกสังเกต
  • กลุ่มสังคมไม่เป็นทางการ (Informal Group): มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพมากกว่าโครงสร้างทางการ
  • ความรู้สึกเป็นสำคัญ: การสนใจและเอาใจใส่พนักงานเพิ่มแรงจูงใจ

Douglas McGregor: ทฤษฎี X และทฤษฎี Y

ทฤษฎี X (แง่ลบ) ทฤษฎี Y (แง่บวก)
คนเกียจคร้าน ไม่ชอบทำงาน คนเต็มใจทำงาน ถ้าชอบงานนั้น
ต้องบังคับและคุกคาม สามารถควบคุมตนเองได้
หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ ยอมรับและแสวงหาความรับผิดชอบ
ต้องการความมั่นคงเหนือสิ่งอื่น มีความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพสูง

ตอนที่ 1.3: ทฤษฎีองค์การสมัยใหม่

หลังจากทฤษฎีคลาสสิกและนีโอคลาสสิก นักวิชาการก็พัฒนาแนวคิดใหม่ๆ ที่ซับซ้อนและยืดหยุ่นขึ้น

1.3.1 ทฤษฎีระบบ (Systems Theory)

มององค์การเป็น "ระบบเปิด" (Open System) ที่ต้องแลกเปลี่ยนกับสภาพแวดล้อม

องค์ประกอบของระบบ:

  • Input (ปัจจัยนำเข้า): วัตถุดิบ คน เงิน ข้อมูล
  • Process (กระบวนการ): เปลี่ยนปัจจัยนำเข้าให้เป็นผลผลิต
  • Output (ผลผลิต): สินค้า บริการ กำไร
  • Feedback (ป้อนกลับ): ข้อมูลจากสภาพแวดล้อมมาปรับปรุงระบบ

1.3.2 ทฤษฎีสถานการณ์ (Contingency Theory)

ไม่มีวิธีการจัดการที่ "ดีที่สุด" สำหรับทุกสถานการณ์ การจัดการที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับ:

  • ขนาดขององค์การ
  • เทคโนโลยีที่ใช้
  • สภาพแวดล้อมภายนอก
  • ลักษณะของคนในองค์การ
สภาพแวดล้อม โครงสร้างที่เหมาะสม
สภาพแวดล้อมเสถียร (Stable) โครงสร้างแบบ Mechanistic (เป็นทางการ ลำดับชั้นชัดเจน)
สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลง (Dynamic) โครงสร้างแบบ Organic (ยืดหยุ่น ไม่เป็นทางการ)

1.3.3 ทฤษฎีโครงสร้างองค์การสมัยใหม่ (Modern Structural Theory)

Henry Mintzberg: โครงสร้าง 5 รูปแบบ

Mintzberg เสนอว่าองค์การประกอบด้วย 5 ส่วน (Strategic Apex, Middle Line, Operating Core, Techno-structure, Support Staff) และสามารถจัดรูปแบบได้ 5 แบบ:

  1. Simple Structure: องค์การขนาดเล็ก เจ้าของคุมเอง ยืดหยุ่นสูง
  2. Machine Bureaucracy: องค์การขนาดใหญ่ ผลิตซ้ำๆ มาตรฐานสูง (เช่น โรงงาน, สายการบิน)
  3. Professional Bureaucracy: องค์การของมืออาชีพ (เช่น โรงพยาบาล, มหาวิทยาลัย) อำนาจอยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญ
  4. Divisionalized Form: องค์การแตกเป็นสาขาหรือหน่วยธุรกิจ (เช่น เครือบริษัทใหญ่ๆ)
  5. Adhocracy: องค์การนวัตกรรม รวมทีมเฉพาะกิจเพื่อทำโปรเจกต์ (เช่น กองถ่ายภาพยนตร์, บริษัทซอฟต์แวร์)

Charles Handy: องค์การแบบแชมร็อค (Shamrock Organization)

Handy ทำนายอนาคตการทำงานว่าจะเป็นเหมือนใบไม้ 3 แฉก:

  • ใบที่ 1: Core Workers: พนักงานประจำที่เป็นแกนหลัก มีความสำคัญสูง มั่นคง รายได้ดี
  • ใบที่ 2: Contractual Fringe: ผู้รับเหมารายย่อย หรือ Outsource ทำงานที่ไม่ใช่แกนหลัก (เช่น แม่บ้าน, รปภ., ไอทีซัพพอร์ต)
  • ใบที่ 3: Flexible Labor Force: แรงงานยืดหยุ่น พาร์ทไทม์ หรือพนักงานชั่วคราว จ้างเมื่อมีงานเยอะ

ตอนที่ 1.4: แนวคิดทฤษฎีองค์การในศตวรรษที่ 21

โลกในศตวรรษที่ 21 เผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ทั้งโลกาภิวัตน์ เทคโนโลยีดิจิทัล และความไม่แน่นอน (VUCA World) ทฤษฎีองค์การจึงต้องปรับตัวสู่รูปแบบที่ยืดหยุ่นและชาญฉลาด

1.4.1 พัฒนาการสู่ยุคใหม่

จากยุคคลาสสิกที่เน้น "ประสิทธิภาพ" มาสู่ยุคศตวรรษที่ 21 ที่เน้น "นวัตกรรม" และ "ความยั่งยืน"

  • การรื้อสร้าง (Deconstruction): โครงสร้างแบบลำดับชั้นถูกทลายลง กลายเป็นโครงสร้างแนวราบ (Flat Organization)
  • โลกไร้พรมแดน (Globalization): การแข่งขันไม่ได้อยู่แค่ในประเทศ แต่มาจากทั่วโลก
  • ยุคสารสนเทศ (Information Age): ข้อมูลคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุด (Data is the new oil)

1.4.2 องค์การดิจิทัล (Digital Organization)

องค์การดิจิทัลไม่ใช่แค่การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ แต่คือการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ในการดำเนินงาน

คุณลักษณะสำคัญขององค์การดิจิทัล (M-PWR Model):

M - Mindset (ความคิดที่มุ่งมั่น)

มีแนวคิด "Digital First" ทุกคนในองค์กรพร้อมเปิดรับเทคโนโลยี ใช้ AI และ Big Data ช่วยตัดสินใจ มองวิกฤตเป็นโอกาสในการปรับตัว

P - Practices (การปฏิบัติที่มีบรรทัดฐาน)

การทำงานแบบ Agile รวดเร็ว ยืดหยุ่น เน้นการทดลองทำ (Fail fast, learn faster) การตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูล (Data-Driven Decision)

W - Workforce (คนทำงาน)

พนักงานต้องมีทักษะดิจิทัล (Digital Literacy) สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้ มีความผูกพันกับองค์กรสูง (High Engagement)

R - Resources (ทรัพยากร)

ข้อมูล (Data) คือสินทรัพย์สำคัญ ต้องมีระบบจัดเก็บข้อมูลลูกค้าแบบ Real-time และเครื่องมือการทำงานร่วมกัน (Collaborative Tools)

กฎหมายยุคดิจิทัล

พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)

พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

องค์การดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven) ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งในการจัดการข้อมูลลูกค้า

  • Consent: ต้องขอความยินยอมก่อนเก็บข้อมูล และแจ้งวัตถุประสงค์ชัดเจน
  • Data Security: ต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ไม่ให้รั่วไหล
  • Rights: เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอเข้าถึง แก้ไข หรือขอให้ลบข้อมูล (Right to be forgotten)
  • โทษ: หากฝ่าฝืนมีโทษทางอาญา (จำคุม/ปรับ) โทษทางปกครอง (ปรับสูงสุด 5 ล้านบาท) และโทษทางแพ่ง (จ่ายค่าสินไหมทดแทน)
บัญชียุคดิจิทัล

สินทรัพย์ดิจิทัลและสินทรัพย์ไม่มีตัวตน

TAS 38: สินทรัพย์ไม่มีตัวตน (Intangible Assets)

ในยุคดิจิทัล มูลค่าของบริษัทมักไม่ได้อยู่ที่โรงงาน แต่อยู่ที่ ซอฟต์แวร์ ลิขสิทธิ์ ฐานข้อมูลลูกค้า

  • ค่าใช้จ่ายในการวิจัย (Research) ถือเป็นค่าใช้จ่ายทันที
  • ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา (Development) หากเข้าเงื่อนไข สามารถบันทึกเป็นสินทรัพย์ได้ (Capitalization)
  • สินทรัพย์ดิจิทัล (Cryptocurrency/Tokens): มาตรฐานการบัญชีกำลังปรับตัวเพื่อรองรับการวัดมูลค่าที่เหมาะสม (อาจมองเป็นสินค้าคงเหลือ หรือสินทรัพย์ไม่มีตัวตน แล้วแต่วัตถุประสงค์การถือครอง)

บทสรุปส่งท้ายหน่วยที่ 1

การศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับองค์การเปรียบเสมือนการอ่านแผนที่การเดินเรือของมนุษยชาติในการบริหารจัดการ จากยุคที่เน้นประสิทธิภาพสูงสุดแบบเครื่องจักร มาสู่ยุคที่เข้าใจหัวใจคน และก้าวสู่ยุคแห่งความยืดหยุ่นและข้อมูลข่าวสาร

ไม่มีทฤษฎีใดที่ "ถูกที่สุด" หรือ "ดีที่สุด" ตลอดกาล นักบริหารที่ดีคือผู้ที่สามารถ "เลือกใช้" เครื่องมือเหล่านี้ให้เหมาะกับ "สถานการณ์" ตรงหน้า โดยไม่ลืมที่จะยึดมั่นในหลักการทางกฎหมาย จริยธรรม และความโปร่งใสทางบัญชี เพื่อนำพาองค์การให้เติบโตอย่างยั่งยืนในศตวรรษที่ 21

พร้อมทดสอบความเข้าใจแล้วหรือยัง?

คุณได้อ่านบทเรียน Unit 1 จบแล้ว ลองมาทดสอบความเข้าใจกันเลย!
แบบทดสอบ 20 ข้อ (Recall 5 ข้อ, Analysis 5 ข้อ, Integration 5 ข้อ, Evaluation 5 ข้อ)
เวลา 20 นาที | มีเฉลยละเอียดพร้อมคำอธิบาย

เริ่มทำแบบทดสอบเลย