UNIT 14

การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ

Strategy Implementation

จากวิสัยทัศน์สู่ความเป็นจริง: การออกแบบโครงสร้างองค์การ (7S), การจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) และการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นเลิศ (Toyota Way)

บทนำ: การสานฝันให้เป็นความจริง

การวางแผนกลยุทธ์เปรียบเสมือนการ "สร้างฝัน" (Formulation) แต่การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติคือการ "สานฝัน" (Implementation) ให้กลายเป็นความจริง มีคำกล่าวว่า "กลยุทธ์ที่ดีเลิศเพียงใด หากปราศจากการนำไปปฏิบัติที่ดี ย่อมล้มเหลว แต่กลยุทธ์ที่ธรรมดา หากนำไปปฏิบัติอย่างยอดเยี่ยม อาจนำมาซึ่งความสำเร็จได้"

ในหน่วยการเรียนรู้นี้ เราจะสำรวจกระบวนการที่ซับซ้อนของการเปลี่ยนแผนงานบนกระดาษให้กลายเป็นการกระทำ ท่านจะได้เรียนรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง "โครงสร้าง" และ "กลยุทธ์" ผ่านโมเดลระดับโลกอย่าง McKinsey 7S Framework เข้าใจขั้นตอนการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) อย่างละเอียด และเจาะลึกศิลปะการบริหารคนและวัฒนธรรมองค์การ โดยมีกรณีศึกษา "วิถีโตโยต้า" (The Toyota Way) เป็นแม่แบบแห่งความสำเร็จ

ตอนที่ 14.1 บทบาทของโครงสร้างองค์การในการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ (Structure & Strategy)

โครงสร้างองค์การไม่ใช่เพียงแค่ผังการบังคับบัญชา แต่เป็นกลไกสำคัญที่จะกำหนดว่าทรัพยากรจะถูกใช้อย่างไร และใครมีอำนาจตัดสินใจในเรื่องใด การเลือกโครงสร้างที่ผิดพลาดอาจทำให้กลยุทธ์ที่ดีที่สุดกลายเป็นอัมพาตได้

14.1.1 แนวคิดเกี่ยวกับการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ

1. ความหมายและนัยสำคัญ

การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ (Strategy Implementation) คือกระบวนการแปลงกลยุทธ์และนโยบายให้เป็นการกระทำ (Converting strategy into action) ผ่านการพัฒนาแผนงาน (Programs), งบประมาณ (Budgets), และระเบียบปฏิบัติ (Procedures)

  • ใครทำ? ผู้บริหารระดับกลางและระดับต้นเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อน
  • ทำอะไร? เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม โครงสร้าง และระบบงานให้สอดคล้องกับทิศทางใหม่
  • เป้าหมาย? เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

2. ปัญหาที่มักพบในการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ

จากการสำรวจของนิตยสาร Fortune พบว่าบริษัทชั้นนำกว่า 50% ประสบปัญหาในการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ สาเหตุหลัก 10 ประการ ได้แก่:

  1. ใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้
  2. เกิดปัญหาที่ไม่คาดคิด
  3. ขาดการประสานงานที่มีประสิทธิภาพ
  4. เกิดภาวะวิกฤตอื่นแทรกซ้อนจนเบี่ยงเบนความสนใจ
  5. บุคลากรขาดความสามารถ
  6. พนักงานระดับล่างขาดการฝึกฝน
  7. ปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้
  8. ผู้จัดการแผนกขาดภาวะผู้นำ
  9. ขาดความชัดเจนในงานและกิจกรรม
  10. ระบบสารสนเทศไม่เพียงพอต่อการตรวจสอบ

14.1.2 ตัวแบบ McKinsey 7S Framework

บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก McKinsey ได้พัฒนาโมเดล 7S เพื่อแสดงให้เห็นว่าความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความสอดคล้องของปัจจัย 7 ประการ:

1. Strategy (กลยุทธ์)

แผนการดำเนินงานเพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง

2. Structure (โครงสร้าง)

สายการบังคับบัญชา ใครรายงานใคร การแบ่งแผนกงาน

3. Systems (ระบบ)

กระบวนการทำงาน ระเบียบวิธีปฏิบัติ ทั้งการเงิน บัญชี และ IT

4. Staff (บุคลากร)

การคัดเลือก พัฒนา และดูแลทรัพยากรมนุษย์

5. Skills (ทักษะ)

ความเชี่ยวชาญโดดเด่น (Core Competencies) ขององค์กรและพนักงาน

6. Style (รูปแบบการบริหาร)

พฤติกรรมผู้นำและวัฒนธรรมการทำงาน

7. Shared Values (ค่านิยมร่วม)

หัวใจสำคัญที่สุด: ความเชื่อและอุดมการณ์ร่วมกันที่ยึดเหนี่ยวทุกส่วนไว้ด้วยกัน

หมายเหตุ: 3 ตัวแรก (Strategy, Structure, Systems) เรียกว่า "Hard S" (จับต้องได้) ส่วน 4 ตัวหลัง (Staff, Skills, Style, Shared Values) เรียกว่า "Soft S" (นามธรรมและเปลี่ยนแปลงยากกว่า)

14.1.3 การจัดโครงสร้างองค์การ (Organizational Structure)

หลักการสำคัญคือ "Structure Follows Strategy" (โครงสร้างต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์) หากกลยุทธ์เปลี่ยน โครงสร้างก็ต้องเปลี่ยนตาม รูปแบบโครงสร้างที่สำคัญมีดังนี้:

ประเภทโครงสร้าง ลักษณะเด่น เหมาะสำหรับ
1. ตามหน้าที่ (Functional) แบ่งตามความเชี่ยวชาญ (ผลิต, การตลาด, บัญชี) องค์การขนาดเล็ก, สินค้าไม่ซับซ้อน, ต้องการประสิทธิภาพสูง
2. ตามผลิตภัณฑ์ (Product) มีผู้จัดการผลิตภัณฑ์ดูแลครบวงจร (ผลิต-ขาย) องค์การที่มีสินค้าหลายประเภท ต้องการโฟกัสที่ตัวสินค้า
3. ตามตลาด/ลูกค้า (Market/Customer) แบ่งตามกลุ่มลูกค้า (เช่น ลูกค้าปลีก, ลูกค้าอุตสาหกรรม) ธุรกิจที่ลูกค้ามีความต้องการแตกต่างกันอย่างชัดเจน
4. ตามภูมิศาสตร์ (Geographic) แบ่งตามพื้นที่ (ภาคเหนือ, ภาคใต้, เอเชีย, ยุโรป) ธุรกิจข้ามชาติ หรือธุรกิจที่ต้องตอบสนองความต้องการท้องถิ่น
5. แบบเมทริกซ์ (Matrix) พนักงานมีหัวหน้า 2 คน (ตามหน้าที่ + ตามโครงการ) โครงการซับซ้อนที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญหลายด้านร่วมมือกัน
6. แบบเครือข่าย (Network) มีสำนักงานกลางขนาดเล็ก จ้างคนนอก (Outsource) ทำงานส่วนใหญ่ ธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการความคล่องตัวสูง ลดต้นทุนคงที่
มุมมองทางกฎหมาย

การปรับโครงสร้างองค์การและกฎหมายแรงงาน

พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

การปรับเปลี่ยนโครงสร้างมักนำมาซึ่งการโยกย้ายหรือลดคน ผู้บริหารต้องระวัง:

  • การเปลี่ยนสภาพการจ้าง: การย้ายแผนกหรือลดตำแหน่ง หากทำให้ลูกจ้างเสียประโยชน์ ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง
  • การเลิกจ้าง: หากปรับโครงสร้างแล้วต้องเลิกจ้าง (Redundancy) ต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงาน และต้องมีเหตุผลอันสมควรเพื่อไม่ให้เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

ตอนที่ 14.2 ขั้นตอนการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติและการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Process & Action Plan)

เมื่อโครงสร้างพร้อม ก็ถึงเวลาขับเคลื่อนกลยุทธ์ผ่านกระบวนการที่เป็นขั้นตอน และแปลงลงสู่แผนปฏิบัติการที่วัดผลได้

14.2.1 ขั้นตอนการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ 10 ประการ

เพื่อให้กลยุทธ์ไม่เป็นเพียงความฝัน ผู้บริหารต้องดำเนินการดังนี้:

  1. จัดทำวัตถุประสงค์ประจำปี (Annual Objectives): แปลงเป้าหมายระยะยาวให้เป็นเป้าหมายรายปีที่จับต้องได้
  2. กำหนดนโยบาย (Policies): สร้างกรอบกติกาและแนวทางปฏิบัติ (Do's and Don'ts) เพื่อลดความสับสน
  3. จัดสรรทรัพยากร (Resource Allocation): "Put your money where your strategy is" จัดงบประมาณ คน และเครื่องมือให้สอดคล้องกับความสำคัญ
  4. จัดโครงสร้างองค์การ: ปรับผังองค์กรให้เอื้อต่อกลยุทธ์ใหม่ (ดังที่กล่าวในตอนที่ 14.1)
  5. ปรับปรุงระบบรางวัล (Reward Systems): เชื่อมโยงค่าตอบแทนและโบนัสเข้ากับผลสำเร็จของกลยุทธ์ (Pay for Performance)
  6. ลดการต่อต้าน (Minimize Resistance): สื่อสารและทำความเข้าใจกับพนักงานถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลง
  7. จัดผู้บริหารให้เหมาะสม: เลือกผู้นำที่มีสไตล์เหมาะกับกลยุทธ์ช่วงนั้น (เช่น ช่วงขยายตัว vs ช่วงฟื้นฟูกิจการ)
  8. พัฒนาวัฒนธรรม: สร้างค่านิยมและบรรยากาศการทำงานที่สนับสนุนกลยุทธ์
  9. ปรับปรุงกระบวนการผลิต: เน้นคุณภาพ (Quality), นวัตกรรม (Innovation), และความรวดเร็ว (Speed)
  10. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์: ฝึกอบรม (Training) ให้คนมีความพร้อมรับมือกับงานใหม่

14.2.2 การจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan)

แผนปฏิบัติการ (Action Plan) คือเครื่องมือแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติจริง ต้องตอบโจทย์ 5W1H (Who, What, Where, When, Why, How) และมีงบประมาณกำกับ

องค์ประกอบของแผนปฏิบัติการที่ดี

กิจกรรม (Activity) ผู้รับผิดชอบ (Responsible) ระยะเวลา (Timeframe) งบประมาณ (Budget) ตัวชี้วัด (KPI)
1. คัดเลือกบริษัทโฆษณา ผจก. การตลาด 1-15 ม.ค. - ได้บริษัทที่เหมาะสม 1 ราย
2. ผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ บริษัทโฆษณา 1 ก.พ. - 31 มี.ค. 2,000,000 บาท สื่อเสร็จทันเวลา 100%
3. ปล่อยแคมเปญโฆษณา ผจก. การตลาด 1 เม.ย. - 31 ธ.ค. 7,500,000 บาท ยอดขายเพิ่มขึ้น 20%
มุมมองทางบัญชี

การควบคุมงบประมาณ (Budgetary Control)

แผนปฏิบัติการต้องมาพร้อมกับงบประมาณ นักบัญชีบริหารมีหน้าที่:

  • Variance Analysis: เปรียบเทียบงบประมาณที่ตั้งไว้ (Budget) กับการใช้จ่ายจริง (Actual)
  • Flexible Budgeting: ปรับงบประมาณให้ยืดหยุ่นตามปริมาณกิจกรรมจริง เพื่อการวัดผลที่ยุติธรรม
  • หากมีการใช้จ่ายเกินงบ ต้องหาสาเหตุและแก้ไขทันที ไม่ใช่รอสิ้นปี

14.2.3 แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practices)

เทคนิคการจัดการสมัยใหม่ที่ช่วยขับเคลื่อนกลยุทธ์:

1. การจัดการโดยยึดวัตถุประสงค์ (MBO - Management by Objectives)

แนวคิดของ Peter Drucker ที่เน้นให้พนักงานและหัวหน้า "ร่วมกันกำหนดเป้าหมาย" เพื่อให้พนักงานรู้สึกเป็นเจ้าของและผูกพันกับเป้าหมายนั้น

2. การจัดการคุณภาพแบบองค์รวม (TQM - Total Quality Management)

ปรัชญาที่มุ่งเน้นคุณภาพในทุกขั้นตอน โดยมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน:

  • Customer Focus: ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง
  • Continuous Improvement (Kaizen): พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งด้วยวงจร PDCA (Plan-Do-Check-Action)
  • Employee Involvement: ทุกคนในองค์กรมีส่วนร่วม

3. การทำงานเป็นทีม (Teamwork)

การรวมพลัง (Synergy) ของบุคลากรที่มีทักษะหลากหลาย เพื่อเป้าหมายเดียวกัน ทีมที่ดีต้องมีความเป็นหนึ่งเดียว (Solidarity) พึ่งพาอาศัยกัน และมีการสื่อสารที่ดี

ตอนที่ 14.3 ภาวะผู้นำและการสร้างวัฒนธรรมองค์การ (Leadership & Culture)

"โครงสร้าง" และ "ระบบ" เปรียบเสมือนร่างกาย แต่ "ภาวะผู้นำ" และ "วัฒนธรรม" เปรียบเสมือนจิตวิญญาณที่ขับเคลื่อนองค์การให้มีชีวิต

14.3.1 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ (Strategic Leadership)

ผู้บริหารระดับสูงต้องสวมบทบาท ผู้นำเชิงกลยุทธ์ ซึ่งไม่ใช่แค่สั่งการ แต่ต้องสร้างแรงบันดาลใจและนำการเปลี่ยนแปลง (Transformational Leadership)

บทบาทสำคัญ 3 ประการ:

  1. กำหนดทิศทาง (Setting Direction): สร้างวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและท้าทาย
  2. ออกแบบองค์การ (Designing Organization): สร้างโครงสร้างและระบบที่เอื้อต่อการบรรลุวิสัยทัศน์
  3. ปลูกฝังวัฒนธรรม (Installing Culture): สร้างค่านิยมและบรรทัดฐานที่ถูกต้อง

กลยุทธ์การใช้อิทธิพล (Influence Strategies)

ผู้นำจะจูงใจให้คนทำตามได้อย่างไร?:

  • เหตุผล (Reason): ใช้ข้อมูลและตรรกะ (นิยมใช้มากที่สุดและยั่งยืนที่สุด)
  • ความเป็นมิตร (Friendliness): สร้างความสัมพันธ์ที่ดี
  • ความร่วมมือ (Coalition): หาพันธมิตรสนับสนุน
  • การต่อรอง (Bargaining): แลกเปลี่ยนผลประโยชน์
  • อำนาจที่สูงกว่า (Higher Authority): อ้างเบื้องบน
  • การลงโทษ (Sanctions): ใช้ไม้แข็ง (ควรใช้น้อยที่สุด)

14.3.2 การสร้างวัฒนธรรมองค์การ (Creating Organizational Culture)

วัฒนธรรมองค์การ คือ ระบบความเชื่อ ค่านิยม และบรรทัดฐานที่สมาชิกยึดถือร่วมกัน (Shared Values) เปรียบเสมือน "บุคลิกภาพ" ขององค์การ

ระดับของวัฒนธรรม (Schein's Model)

  1. สิ่งประดิษฐ์ (Artifacts): สิ่งที่มองเห็นได้ เช่น การแต่งกาย, การตกแต่งออฟฟิศ, พิธีกรรม
  2. ค่านิยมที่อวดอ้าง (Espoused Values): สิ่งที่บริษัทประกาศว่ายึดถือ เช่น "Integrity", "Innovation"
  3. ข้อสมมติพื้นฐาน (Basic Assumptions): ความเชื่อลึกๆ ที่ฝังรากและทำโดยไม่รู้ตัว (เปลี่ยนยากที่สุด)

กรณีศึกษา: วิถีแห่งโตโยต้า (The Toyota Way)

ต้นแบบวัฒนธรรมองค์การระดับโลกที่สร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 2 เสาหลัก 5 ค่านิยม:

เสาหลักที่ 1: Continuous Improvement

  • Challenge: กล้าท้าทาย สร้างวิสัยทัศน์ระยะยาว
  • Kaizen: ปรับปรุงทีละเล็กละน้อยอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดนิ่ง
  • Genchi Genbutsu: "ไปดูให้เห็นกับตา" ไปที่หน้างานจริง (Gemba) เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ

เสาหลักที่ 2: Respect for People

  • Respect: เคารพผู้อื่น รับฟัง และมีความรับผิดชอบ
  • Teamwork: ทำงานเป็นทีม พัฒนาบุคลากร และให้ความสำคัญกับผลสำเร็จของทีมมากกว่าบุคคล

บทเรียน: วัฒนธรรมที่แข็งแกร่งอย่าง Toyota Way ไม่ได้เกิดข้ามคืน แต่เกิดจากการปลูกฝังและปฏิบัติซ้ำๆ จนกลายเป็น DNA ของพนักงานทุกคน

ขั้นตอนการสร้าง/เปลี่ยนวัฒนธรรม

  1. กำหนดพฤติกรรมเป้าหมาย: อยากเห็นพนักงานทำอะไร?
  2. สื่อสารและพัฒนา: อบรม สอนงาน ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง (Role Model)
  3. บังคับใช้และให้รางวัล: ให้รางวัลคนที่ทำตาม และลงโทษคนที่ฝ่าฝืน เพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่

บทสรุปส่งท้ายหน่วยที่ 14

การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติคือบททดสอบที่แท้จริงของผู้บริหาร ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ความสวยหรูของแผน แต่อยู่ที่ความสามารถในการผสาน "ศาสตร์" (โครงสร้าง, ระบบ, แผนงาน) และ "ศิลป์" (ภาวะผู้นำ, วัฒนธรรม, คน) เข้าด้วยกันอย่างลงตัว

ผู้บริหารต้องตระหนักเสมอว่า "โครงสร้างต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์" และ "วัฒนธรรมต้องเอื้อต่อการปฏิบัติงาน" การสร้างสมดุลระหว่างปัจจัย 7S ของ McKinsey และการยึดมั่นในแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศอย่าง TQM หรือ Toyota Way จะเป็นกุญแจสำคัญที่ไขประตูสู่ความเป็นเลิศขององค์การอย่างยั่งยืน