บทนำ: ปิดวงจรแห่งความสำเร็จ
การเดินทางของกระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์มาถึงขั้นตอนสุดท้ายและสำคัญที่สุด นั่นคือ "การประเมินและควบคุม" (Evaluation and Control) หากเปรียบการวางแผนกลยุทธ์ (Formulation) เป็นการกำหนดเส้นทางเดินเรือ และการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ (Implementation) เป็นการออกเรือโต้คลื่นลม การประเมินและควบคุมก็คือ "หอควบคุมและระบบนำร่อง" ที่คอยตรวจสอบว่าเรือลำนี้ยังคงมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางที่ถูกต้องหรือไม่ หรือกำลังหลงทางอยู่กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
ในหน่วยการเรียนรู้สุดท้ายนี้ เราจะเจาะลึกถึงศาสตร์และศิลป์ของการ "วัดผล" ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การดูตัวเลขกำไรขาดทุนในงบการเงิน แต่เป็นการวัด "สุขภาพ" ขององค์การในทุกมิติ ทั้งด้านการเงิน ลูกค้า กระบวนการ และการเรียนรู้ ผ่านเครื่องมือระดับโลกอย่าง Balanced Scorecard (BSC) และ Economic Value Added (EVA) นอกจากนี้ เราจะยังได้เรียนรู้ถึงบทบาทของคณะกรรมการตรวจสอบ (Audit Committee) และธรรมาภิบาล (Corporate Governance) ที่เป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงให้กับองค์การในยุคปัจจุบัน
ตอนที่ 15.1 แนวคิดของการประเมินและควบคุมกลยุทธ์ (Concepts of Strategy Evaluation)
ในอดีต การควบคุมมักถูกมองว่าเป็นเรื่องของการ "จับผิด" แต่ในมุมมองเชิงกลยุทธ์สมัยใหม่ การควบคุมคือ "กระบวนการเรียนรู้และปรับปรุง" (Learning and Improvement Process) ที่ทำให้องค์การฉลาดขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น
15.1.1 ความหมายและนัยสำคัญที่แท้จริง
1. นิยามและความแตกต่าง (Definitions)
เรามักใช้คำว่า "ประเมิน" และ "ควบคุม" คู่กัน แต่ทั้งสองคำมีนัยที่ต่างกันเล็กน้อย:
- การประเมินกลยุทธ์ (Strategy Evaluation): เป็นการ "เปรียบเทียบ" (Comparing) ผลการดำเนินงานจริง (Actual Performance) กับเป้าหมายหรือมาตรฐานที่ตั้งไว้ (Standard/Objective) เพื่อวินิจฉัยว่า "เราทำได้ดีแค่ไหน?"
- การควบคุมกลยุทธ์ (Strategic Control): เป็นกระบวนการที่กว้างกว่า คือการ "กำกับ ดูแล และแก้ไข" (Monitoring & Corrective Action) เพื่อให้มั่นใจว่าองค์การจะบรรลุเป้าหมายในที่สุด ไม่ใช่แค่บอกว่าผิด แต่ต้องบอกว่า "จะแก้อย่างไร?"
วิวัฒนาการของแนวคิด:
แนวคิดดั้งเดิม (Traditional): เน้นการควบคุมหลังการดำเนินงาน (Post-action) คือรอให้จบปีงบประมาณแล้วค่อยมาดูงบการเงิน ซึ่งมักจะ "สายเกินไป" (Too late)
แนวคิดร่วมสมัย (Contemporary): เน้นการควบคุมแบบต่อเนื่อง (Continuous) และการเฝ้าระวังล่วงหน้า (Feedforward) เพื่อดักจับสัญญาณความผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ
2. ความสำคัญ 3 มิติ (Importance)
- Validation (การตรวจสอบความถูกต้อง): ยืนยันว่าสมมติฐานที่เราใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ยังคงเป็นจริงอยู่หรือไม่? (เช่น เศรษฐกิจยังดีอยู่ไหม? ลูกค้ายังชอบสินค้าเราไหม?)
- Performance Check (การตรวจสอบผลงาน): เป็นกระจกสะท้อนให้ผู้บริหารเห็นว่า การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ (Implementation) มีประสิทธิภาพเพียงใด
- Strategic Adjustment (การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์): โลกเปลี่ยนเร็ว กลยุทธ์ที่วางไว้อาจล้าสมัยใน 6 เดือน การควบคุมที่ดีช่วยให้เรา "เลี้ยวกลับรถ" ได้ทันท่วงที (Strategic Pivot)
การประเมินความเสี่ยงและการควบคุมภายใน (ISA 315)
มาตรฐานการสอบบัญชี รหัส 315 (ISA 315)
ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA) มีหน้าที่ต้องทำความเข้าใจระบบการควบคุมภายในของกิจการ เพื่อประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริตหรือข้อผิดพลาดร้ายแรง:
- Control Environment: สภาพแวดล้อมการควบคุม ผู้บริหารให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์และจริยธรรมหรือไม่? (Tone at the Top)
- Monitoring of Controls: กิจการมีการติดตามผลระบบการควบคุมของตนเองหรือไม่? หากไม่มีการติดตาม ระบบควบคุมที่ดีก็อาจหย่อนยานได้เมื่อเวลาผ่านไป
15.1.2 ประเภทของการประเมินและควบคุมกลยุทธ์
Pearce & Robinson ได้จำแนกการควบคุมกลยุทธ์ออกเป็น 4 ประเภท ซึ่งครอบคลุมทุกช่วงเวลาของกลยุทธ์:
1. การควบคุมข้อสมมติพื้นฐาน (Premise Control)
"ตรวจสอบรากฐาน": กลยุทธ์ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นบน "สมมติฐาน" (Assumptions) เช่น "เศรษฐกิจจะโต 3%" หรือ "คู่แข่งจะไม่ลดราคา" การควบคุมประเภทนี้คือการคอยเช็คว่าสมมติฐานเหล่านั้นยังเป็นจริงอยู่ไหม หากรากฐานเปลี่ยน (เช่น เกิดสงคราม, เงินเฟ้อพุ่ง) เราต้องรีบเปลี่ยนแผนทันที
2. การเฝ้าระวังเชิงกลยุทธ์ (Strategic Surveillance)
"เรดาร์ตรวจจับรอบทิศ": เป็นการสแกนสิ่งแวดล้อมแบบกว้างๆ ไม่เจาะจง (Unfocused) เพื่อหาเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด (Unforeseen events) ที่อาจกระทบธุรกิจ เช่น อ่านข่าวเจอเทคโนโลยีใหม่, การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในต่างประเทศ (เหมือนกรณี P&G ที่จับสัญญาณการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในยุโรปได้ก่อนคู่แข่ง)
3. การควบคุมแบบตื่นตัว (Special Alert Control)
"สัญญาณเตือนภัยวิกฤต": เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ไม่คาดฝัน (Shock events) เช่น วินาศกรรม 9/11, โรคระบาดโควิด-19, หรือการควบรวมกิจการของคู่แข่งยักษ์ใหญ่ องค์การต้องมีระบบเตือนภัยและทีมฉุกเฉิน (Crisis Team) ที่พร้อมรื้อแผนกลยุทธ์และตอบโต้ทันที
4. การควบคุมการปฏิบัติ (Implementation Control)
"ตรวจสอบการกระทำ": เป็นการควบคุมแบบดั้งเดิม คือดูว่างานเดินไปตามแผนไหม (Are we on track?)
- Strategic Thrusts: โปรเจกต์ใหญ่ๆ สำเร็จตามเป้าหมายระยะสั้นไหม?
- Milestone Reviews: เมื่อถึงจุดเช็คพอยท์ (เช่น สิ้นไตรมาส) เราควร "ไปต่อ" (Go) หรือ "หยุด" (No Go)? (เหมือนกรณี Boeing ยกเลิกโครงการเครื่องบินความเร็วเสียงเพราะไม่คุ้มทุนเมื่อทบทวน Milestone)
15.1.3 กระบวนการประเมินและควบคุม (The Control Process)
ประกอบด้วยวงจร 6 ขั้นตอนมาตรฐานที่ต้องหมุนวนอย่างต่อเนื่อง (Cycle):
- กำหนดสิ่งที่จะวัด (Determine What to Measure): เลือกตัวชี้วัด (KPIs) ที่สะท้อนเป้าหมายเชิงกลยุทธ์จริงๆ ไม่ใช่วัดทุกอย่างที่ขวางหน้า ต้องวัดสิ่งที่ "สำคัญ" (Critical Success Factors - CSFs)
- กำหนดมาตรฐาน (Set Standards): ตั้งเกณฑ์เป้าหมาย (Targets) เช่น ยอดขายต้องโต 10%, ของเสียไม่เกิน 1% มาตรฐานต้องท้าทายแต่ทำได้จริง (Challenging but Achievable) และมีความยืดหยุ่น (Flexible)
- วัดผลการดำเนินงาน (Measure Performance): เก็บข้อมูลจริง (Actual Data) ต้องแม่นยำ รวดเร็ว และเชื่อถือได้ (Reliable)
- เปรียบเทียบผลงานกับมาตรฐาน (Compare Performance): หา "ผลต่าง" (Variance) ว่าดีกว่าหรือแย่กว่ามาตรฐาน
- วิเคราะห์สาเหตุ (Analyze Deviations): ทำไมถึงไม่เป็นไปตามเป้า? เป็นเพราะคนทำงานไม่ดี? หรือเพราะมาตรฐานสูงเกินไป? หรือเพราะสภาพแวดล้อมเปลี่ยน? (ขั้นตอนนี้สำคัญที่สุด)
-
ปฏิบัติการแก้ไข (Take Corrective Action):
- ถ้าผลงานต่ำกว่าเป้า: ปรับปรุงวิธีการทำงาน หรือ ปรับลดเป้าหมาย (ถ้ารู้ว่าทำไม่ได้แน่ๆ)
- ถ้าผลงานสูงกว่าเป้า: ให้รางวัล หรือ ปรับเป้าหมายให้ท้าทายขึ้น
ตอนที่ 15.2 เครื่องมือวัดผลและการประเมิน (Performance Measurement Tools)
"You can't manage what you can't measure" (คุณบริหารจัดการสิ่งที่คุณวัดผลไม่ได้ไม่ได้) ปีเตอร์ ดรักเกอร์ กล่าวไว้ การเลือกเครื่องมือวัดผลที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
15.2.1 เครื่องมือวัดผลทางการเงิน (Financial Measures)
เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่สุด แต่ก็มีข้อจำกัดคือเป็นการมอง "อดีต" (Lagging Indicators)
1. ROI (Return on Investment)
ROI = (Net Income / Total Assets) x 100
ข้อดี: ง่าย เปรียบเทียบได้ทุกอุตสาหกรรม
ข้อเสีย: ผู้บริหารอาจเน้นกำไรระยะสั้น (Short-termism) โดยตัดงบวิจัยหรือบำรุงรักษา เพื่อให้ตัวเลข ROI ปีนี้ดูดี แต่ทำลายอนาคตบริษัท
2. EVA (Economic Value Added)
เครื่องมือวัดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐศาสตร์ ที่ปิดจุดอ่อนของกำไรทางบัญชี
EVA = NOPAT - (WACC x Capital Employed)
- NOPAT: กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี
- WACC: ต้นทุนเงินทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (Cost of Debt + Cost of Equity)
- หลักการ: กำไรทางบัญชีไม่ใช่กำไรที่แท้จริง ธุรกิจต้องทำกำไรให้ได้มากกว่า "ต้นทุนของเงินทุน" (รวมถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสของผู้ถือหุ้น) ถึงจะเรียกว่าสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation)
15.2.2 Balanced Scorecard (BSC)
สุดยอดนวัตกรรมการวัดผลที่คิดค้นโดย Kaplan & Norton เพื่อแก้ปัญหาการมองแต่ตัวเลขการเงิน โดยให้มอง 4 มิติอย่างสมดุล:
1. Financial (การเงิน)
"ผู้ถือหุ้นมองเราอย่างไร?"
วัดที่ ROI, การเติบโตของรายได้, กระแสเงินสด (นี่คือผลลัพธ์สุดท้าย)
2. Customer (ลูกค้า)
"ลูกค้ามองเราอย่างไร?"
วัดที่ความพึงพอใจ, ส่วนแบ่งตลาด, การรักษาลูกค้า (นี่คือที่มาของรายได้)
3. Internal Process (กระบวนการภายใน)
"เราต้องเก่งเรื่องอะไร?"
วัดที่คุณภาพการผลิต, ระยะเวลาส่งมอบ, ต้นทุนการผลิต (นี่คือสิ่งที่สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า)
4. Learning & Growth (การเรียนรู้)
"เราจะเก่งขึ้นได้อย่างไร?"
วัดที่ทักษะพนักงาน, ระบบสารสนเทศ, วัฒนธรรมองค์กร (นี่คือรากฐานของทุกสิ่ง)
Key Concept: BSC ไม่ใช่แค่เครื่องมือวัดผล แต่เป็น "เครื่องมือบริหารกลยุทธ์" เพราะมันเชื่อมโยงเหตุและผล (Cause and Effect Linkage):
พัฒนาคน (Learning) -> กระบวนการดีขึ้น (Process) -> ลูกค้าพอใจ (Customer) -> การเงินดี (Financial)
การกำกับดูแลกิจการ (Corporate Governance - CG)
นอกจากการวัดผลแล้ว องค์การต้องมีกลไกการกำกับดูแลเพื่อความโปร่งใส:
- คณะกรรมการตรวจสอบ (Audit Committee): ต้องเป็นกรรมการอิสระ (Independent Directors) ทำหน้าที่สอบทานงบการเงินและระบบควบคุมภายใน เพื่อคานอำนาจฝ่ายบริหาร
- การเปิดเผยข้อมูล (Disclosure): บริษัทมหาชนต้องเปิดเผยข้อมูลตามแบบ 56-1 One Report ของ ก.ล.ต. อย่างครบถ้วน
ตอนที่ 15.3 การประเมินและควบคุมในแต่ละระดับกลยุทธ์ (Control Levels)
การควบคุมต้องเกิดขึ้นในทุกระดับชั้นขององค์การ แต่ละระดับมีจุดเน้นที่แตกต่างกัน
15.3.1 ระดับบริษัท (Corporate Level Control)
เน้นภาพรวมและความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้น
- Portfolio Analysis: วิเคราะห์กลุ่มธุรกิจ (BCG/GE Matrix) ว่าควรลงทุนต่อหรือตัดทิ้ง
- Shareholder Value: ดูราคาหุ้น, เงินปันผล, EVA
- Management Audit: ตรวจสอบประสิทธิภาพของทีมบริหารระดับสูง
15.3.2 ระดับธุรกิจ (Business Level Control)
เน้นความสามารถในการแข่งขันและกำไรของหน่วยธุรกิจ (SBU)
ศูนย์ความรับผิดชอบ (Responsibility Centers)
แบ่งหน่วยงานตามภาระรับผิดชอบเพื่อการวัดผลที่ยุติธรรม:
| ประเภทศูนย์ | สิ่งที่รับผิดชอบ | ตัวอย่างหน่วยงาน | ตัวชี้วัด (KPI) |
|---|---|---|---|
| Cost Center (ศูนย์ต้นทุน) | ต้นทุน (Cost) | ฝ่ายผลิต, ฝ่ายบัญชี, ฝ่าย HR | ควบคุมงบประมาณ, ลดความสูญเสีย |
| Revenue Center (ศูนย์รายได้) | รายได้ (Revenue) | ฝ่ายขาย, ฝ่ายการตลาด | ยอดขาย, ส่วนแบ่งตลาด |
| Profit Center (ศูนย์กำไร) | กำไร (รายได้ - ต้นทุน) | ผู้จัดการผลิตภัณฑ์, สาขา | กำไรขั้นต้น, กำไรสุทธิ |
| Investment Center (ศูนย์ลงทุน) | กำไร และ เงินลงทุน | บริษัทย่อย, สำนักงานประจำภูมิภาค | ROI, ROE, EVA |
Benchmarking (การเทียบวัด)
การเปรียบเทียบกระบวนการทำงานกับ "ผู้ที่เป็นเลิศ" (Best-in-class) ไม่ว่าจะในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือต่างอุตสาหกรรม เพื่อหาช่องว่าง (Gap) และวิธีปรับปรุง
15.3.3 ระดับหน้าที่ (Functional Level Control)
เน้นประสิทธิภาพของกระบวนการปฏิบัติงาน:
- ฝ่ายผลิต: ต้นทุนต่อหน่วย, อัตราของเสีย (Defect Rate), เวลาการผลิต (Cycle Time)
- ฝ่ายการตลาด: ยอดขายต่อพนักงาน, ค่าใช้จ่ายโฆษณาต่อยอดขาย, ความพึงพอใจลูกค้า
- ฝ่าย HR: อัตราการลาออก (Turnover Rate), ความพึงพอใจพนักงาน, ผลผลิตต่อคน
- ฝ่ายการเงิน: สภาพคล่อง (Current Ratio), ระยะเวลาเก็บหนี้ (DSO)
ราคาโอน (Transfer Pricing)
เมื่อมีการซื้อขายระหว่างหน่วยงานภายใน (เช่น โรงงาน A ขายของให้ ฝ่ายขาย B) การกำหนด "ราคาโอน" มีผลต่อกำไรของแต่ละฝ่าย:
- Market Price: ใช้ราคาตลาด (ยุติธรรมที่สุด ถ้ามีตลาดรองรับ)
- Cost-based: ใช้ต้นทุนบวกกำไร (ง่าย แต่อาจไม่จูงใจให้ลดต้นทุน)
- Negotiated: เจรจากันเอง (แฟร์ แต่อาจเสียเวลาและเกิดความขัดแย้ง)
ประเด็นภาษี: สำหรับบริษัทข้ามชาติ ราคาโอนเป็นประเด็นใหญ่ที่สรรพากรจับตามอง เพื่อป้องกันการถ่ายโอนกำไรไปประเทศภาษีต่ำ (Transfer Pricing Legislation)
บทสรุปสุดท้ายของรายวิชา
การจัดการเชิงกลยุทธ์ไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัว แต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด (Never-ending Journey) ตั้งแต่การวิเคราะห์วางแผน นำไปปฏิบัติ จนถึงการประเมินและควบคุม
หัวใจสำคัญคือ "ความยั่งยืน" (Sustainability) องค์การที่ดีต้องไม่เพียงแค่ทำกำไรสูงสุดในวันนี้ แต่ต้องสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย (Stakeholders) และสังคมในระยะยาว ภายใต้ธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้